ใครไม่ใช้ AI ทำงานถือว่าตกยุค แต่ในมุมของการทำ SEO จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ จริงไหมการมาของ AI ทำให้การทำ SEO ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน? My Boost SEO ลองมาแล้ว และมีข้อมูลสำคัญจาก Google มาอธิบายในเรื่องนี้ ถ้าพร้อมแล้วมาศึกษาไปพร้อม ๆ กันครับ
เลือกอ่านเฉพาะส่วนที่คุณอยากอ่าน
จริงไหมการมาของ AI ทำให้การทำ SEO ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน
คำตอบของผม คือ “ไม่จริง” แต่อย่าเพิ่งอารมณ์เสียไปสำหรับคนที่ไม่เห็นด้วย My Boost SEO จะค่อย ๆ อธิบายไปทีละส่วน ว่าทำไม AI ทำให้การทำ SEO มีความลำบากมากขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้รับการอัปเดตล่าสุดจากกงาน Search Central Live Bangkok 2024 และงาน Ahrefs Evolve 2024 สามารถสรุปได้ ดังนี้
บทความที่เกี่ยวข้อง : อัปเดต 4 สิ่งที่ Google ให้ความสำคัญต่อการจัดอันดับ SEO
1.ตอนแรก AI รันทุกวงการแม้กระทั่ง SEO
ในช่วงแรกหลังจากที่ ChatGPT เปิดตัวออกมา หลายคนก็ตาลุกวาวนำมาใช้งานกันอย่างหลากหลาย และเกิดบริษัทที่พัฒนา AI ออกมาช่วยงานแต่ละสายงานกันจนเต็มไปหมด ในด้านของการทำ SEO เองก็ด้วยครับ สิ่งที่ AI เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระได้ดีที่สุดคือ “การเขียนบทความ SEO” เพื่อนำไปลงเว็บไซต์ และการ “สร้างภาพจาก AI” เพื่อให้ได้ภาพที่เป็นเอกลักษณ์มากที่สุด
ในส่วนของรูปภาพไม่ได้ส่งผลมากเนื่องจากประเด็นลิขสิทธิ์ แต่เรื่องของการทำบทความ SEO ที่โดยปกติแล้วจะใช้คนเขียนในบทความละ 1,000 บาทขึ้นไป ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยของมืออาชีพ หรือการจ้างนักเขียนแบบ Full-time จะต้องจ่ายเงินเดือน 15,000 บาทขึ้นไป และยังต้องรอเวลาเป็นวันต่อ 1 บทความอีกด้วย เมื่อ AI ทำได้เร็วกว่าสุดท้ายหลายคนจึงหันมาใช้มันนั่นเอง
2.Google ออกมายอมรับบทความของ AI
ภายในงาน Search Central Live Bangkok 2024 มีประเด็นคำถามว่า AI เขียนบทความออกมาแล้ว Google จะชอบหรือไม่ จะโดนแบนหรือไม่ คำตอบที่ได้คือ “Google ไม่แบน สามารถติดอันดับได้” แต่ “บทความนั้นต้องตอบคำถามให้กับผู้อ่านได้ดีพอ” ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการทำบทความจาก AI ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นระยะหนึ่งครับ จนสุดท้ายจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในหัวข้อต่อไป
3.Search ประสบปัญหาบทความฝาแฝดล้นระบบ
ผลกระทบที่เกิดขึ้น คือ หลายบริษัทใช้ AI ช่วยคิดหัวข้อ (Header) และนำมาเขียนจากการศึกษาข้อมูลเสริมจากเว็บอื่น ๆ และด้วย AI ที่เร็วกว่าคน ทำให้ใน 1 วันบริษัทสามารถผลิตบทความออกมาได้มากกว่า 1 บทความนั่นเอง ผมเคยถามคนรอบตัวมีการปล่อยบทความออกมาถึงวันละ 4 บทความ
จนกระทั่ง Google ประสบกับปัญหาบทความที่มีหัวข้อไม่แตกต่างกัน หลายบริษัทเขียนเนื้อหาจากการศึกษาแหล่งข้อมูลเดียวกัน เว็บไซต์ที่ติดอันดับจึงเต็มไปด้วยบทความฝาแฝด ขาดความรู้ัที่แปลกใหม่ ขาดบทวิเคราะห์ ขาดบทความที่มีความเป็นตัวเอง จนทำให้ผู้ที่ใช้งาน Google รู้สึกว่าอ่านเนื้อหาจากเว็บไหน ๆ ก็ไม่แตกต่างกัน เรื่องนี้ทำให้ Google หันมาตื่นตัว และค่อย ๆ ทำการอัปเดตอัลกอริทึมใหม่ในที่สุด
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมบริการทำ Modern SEO สายขาว หวังผลระยะยาวด้วยแนวทาง Google ที่นี่
4.ย้อนสู่จุดเริ่มต้น ความต้องการบทความที่เป็นมนุษย์
เมื่อ Google เริ่มไม่พอใจกับเนื้อหาบทความที่หาความต่างไม่ได้ อัลกอริทึมตัวใหม่ของพวกเขาจึงพยายามให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีข้อมูลจากมนุษย์ มีข้อมูลจากประสบการณ์จริงมากขึ้นกว่าการแค่เขียนบทความขึ้นมาเฉย ๆ ซึ่งเว็บไซต์เหล่านั้น คือ “เว็บบอร์ด หรือฟอรัม” เรื่องนี้ถูกยืนยันในการวิเคราะห์จากสถิติอัลกอริทึมใหม่ในงาน Ahrefs Evolve 2024 ซึ่งผมเองก็ได้สิทธิในการเข้าร่วมงานเช่นกันครับ
เราจึงเห็นว่ากระทู้ Pantip ของไทย และเว็บ Reddit ของต่างชาติมักจะขึ้นมาให้คำตอบกับเราเสมอ เพราะการคอมเมนต์ภายในนั้นเกิดจากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล Google มองว่าเป็นข้อมูลชั้นดีมากกว่าบทความทั่วไปนั่นเองครับ
ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ Google ต้องการจริง ๆ คือ การนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน บทความ SEO ในตอนนี้จึงกลับมาที่เนื้อหาข้อมูลที่ควรเขียนขึ้นมาจากความเป็นจริงของแต่ละคน หรือที่เรียกว่า “การนำเสนอประสบการณ์จริง” ซึ่งจะวนมาที่บทความของมนุษย์ และต้องเป็นมนุษย์ที่มีความชำนาญเฉพาะในเรื่องนั้น ๆ ด้วยจึงจะสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดี
แอบลักไก่ให้นักเขียนสวมบทบาทว่ามีประสบการณ์ตรงได้ไหม?
คุณคิดว่าทีม My Boost SEO เคยลองทำไหม? คำตอบคือ เราเคยลองทำแล้ว โดยการให้นักเขียนลองสวมบทบาทว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อที่กำลังเขียนอยู่ แล้วผลลัพธ์ที่ออกมา คือ “ไม่ได้ผล” เป็นเพราะท้ายที่สุดแล้ว นักเขียนไม่ได้มีความรู้ในหัวข้อนั้นมากพอที่จะนำเสนอความเป็น “Specialist” ออกมาผ่าเนื้อหาได้ ยิ่งถ้าไปศึกษาจากที่อื่นเพื่อมาเขียน ถ้านักเขียนไปศึกษามาได้ ใคร ๆ ก็ไปอ่านเองได้ แล้วมันจะ Specialist ตรงไหน?
สิ่งที่นักเขียนสามารถทำได้ดีที่สุด คือ การพยายามลองใช้ ลองทำสิ่งนั้น ๆ แล้วเขียนเนื้อหาบทความออกมาในมุมมองของตนเอง อาจบอกถึงประสบการณ์การใช้งาน ข้อดี ข้อเสีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และเหมาะสมในการทำจริง ๆ แต่วิธีนี้ก็ใช้ได้กับบทความบางหัวข้อเท่านั้น ทางออกที่ดีที่สุดหากต้องการเอาชนะการทำ SEO ให้ขาดลอยตอนนี้จึงวนกลับมาที่ “ใช้นักเขียนที่รู้เรื่องนั้น ๆ ดีมากพอ จนแทบไม่ต้องไปศึกษาที่อื่น” นั่นเองครับ
ใช้ AI ช่วย SEO ด้านอื่น ๆ ได้ไหม
หากไม่ใช่ประเด็นเนื้อหาบทความ คุณยังพึ่งพา AI ได้อยู่บ้าง หลัก ๆ แล้วการทำรูปภาพก็ถือว่ายังใช้งานได้อยู่ หรือจะเป็นการช่วยให้คิดแผนการทำ SEO กรณีที่คุณเป็นมือใหม่ในสายงานนี้ หรือการให้ AI ช่วยเขียน Code เพื่อสร้างระบบภายในเว็บไซต์ที่ช่วยกระตุ้น SEO หากคุณเป็นคนที่ไม่ถนัดการ Coding เป็นต้น ผมอยากให้คุณมองว่า AI เป็นสะพาน มากกว่าตัวที่สร้างผลลัพธ์
สรุป
การมาของ AI ในช่วงแรกทำให้ SEO ทำงานได้ง่ายขึ้น จนกระทั่งจำนวนของบทความมีจำนวนมาก และไม่ต่างกันเท่าไหร่ในแต่ละเว็บไซต์ Google ซึ่งห่วงประสบการณ์ของผู้ใช้งานจะไม่ดี จึงพยายามปรับการจัดอันดับ ให้คุณค่าต่อบทความที่มีความคิดเห็นของมนุษย์ หรือเขียนจากความถนัดในเรื่องนั้น ๆ จริง ๆ การหันมาใช้คนจริง ๆ เขียนบทความจึงตอบโจทย์กว่าในตอนนี้ My Boost SEO เราใช้มนุษย์เขียนบทความทุกบทความ และชำนาญการทำ SEO ตามแนวคิดของ Google สามารถติดต่อเราเพื่อรับคำแนะนำได้ครับ
อยากให้เว็บไซต์ของคุณขึ้น Search Engine ปรากฏตัวบนผลการค้นหาให้ลูกค้าของคุณได้เห็นเมื่อใช้งาน Google มีเพียงเว็บไซต์ไม่พอ แต่ต้องมีการทำ SEO ด้วย สนใจสามารถศึกษาข้อมูลได้ หรือติดต่อช่องทางอื่น ๆ สำหรับสอบถาม My Boost SEO ที่ Link ด้านล่างนี้
ข้อมูลเพิ่มเติมรับทำ SEO : https://www.myboostseo.com/seo-service
Facebook : https://www.facebook.com/myboostseo/
Line OA : https://lin.ee/8TQc4nQ
Medium : https://medium.com/@myboostseo